มิติเศรษฐกิจ

การจัดการผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ

บริษัทให้ความสำคัญในการจัดการผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ตั้งแต่กิจกรรมต้นน้ำจนถึงปลายน้ำเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดความยั่งยืน และลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความยั่งยืน  โดยได้มีวิเคราะห์กิจกรรม กลุ่มเป้าหมาย สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และตอบสนองความหวังให้แก่กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่างๆขององค์กร ดังนี้  

ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ

กิจกรรมหลัก (Primary Activities) ของบริษัทมีดังนี้ 

ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ

กิจกรรมหลัก (Primary Activities) ของบริษัทมีดังนี้ 

1.การจัดหาวัตถุดิบ

บริษัทบริหารการจัดซื้อวัตถุดิบคือเหล็กแท่งแบนด้วยความระมัดระวัง ที่จะทำให้บริษัทมีส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาวัตถุดิบตามที่ต้องการและในจำนวนที่เหมาะสม โดยบริษัทไม่มีข้อผูกพันใดๆ ในการสั่งซื้อจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ทั้งนี้บริษัทจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงเพื่อให้ตัวแทนจำหน่าย และผู้ผลิตวัตถุดิบทราบล่วงหน้าถึงปริมาณความต้องการใช้วัตถุดิบของบริษัทเป็นแบบรายปีและ/หรือรายไตรมาส เพื่อลดความเสี่ยงในด้านการขาดแคลนวัตถุดิบ และทำให้เกิดความเพียงพอต่อการผลิตและความต้องการของลูกค้า อีกทั้งแสวงหาแหล่งนำเข้าวัตถุดิบให้มากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ราคาที่เหมาะสม ปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการและสามารถส่งมอบได้ในระยะเวลาอันสั้น 

2.การผลิตสินค้า

บริษัทนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน และมีขั้นตอนในการปรับปรุงกระบวนการผลิตจัดทำและทบทวนแผนบริหารวัสดุคงคลังเพื่อเตรียมอะไหล่สำรองให้มีความพร้อมใช้งานตลอดเวลา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด  ในการผลิต สามารถควบคุมคุณภาพและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างทันท่วงทีที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณภาพ ลดการเกิดสินค้าด้อยคุณภาพ นอกจากนี้ ได้ใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหารคุณภาพสินค้าให้เหมาะสมกับการใช้งานของลูกค้าเพื่อลดการผิดพลาดจากการตัดสินใจของผู้ปฎิบัติงาน รวมถึงจัดตั้งคณะทำงานพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อวิเคราะห์ วางแผนปรับปรุงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทั้งในโครงการที่ดำเนินการแล้ว และคิดค้นโครงการใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตรวมทั้งมีการปรับปรุงด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

3.การขายและการตลาด

บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกกลุ่ม และจัดทำโครงการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (Gold Partnership Program และ Gold Plus Partnership Program) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดซบเซาและใช้นโยบายด้านการขายที่เหมาะสมในแต่ละลูกค้า รวมทั้งติดตามสถานการณ์ตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การทุ่มตลาดของสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ และการนำเข้าสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์และพิจารณาการขายสินค้าให้สอดคล้องกับการสั่งซื้อ

4.การส่งมอบสินค้า

บริษัทให้ความสำคัญกับการขนส่งผลิตภัณฑ์ โดยควบคุมดูแลการขนส่งสินค้าของบริษัทให้ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของลูกค้า พร้อมติดตามการดำเนินงานผ่านชมรมผู้ประกอบการขนส่งบางสะพานและศูนย์ปฎิบัติการควบคุมขนส่งสินค้า (Operation Control Center) ที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดตามรถขนส่งสินค้าตั้งแต่ ต้นทางจนถึงปลายทาง และรับข้อร้องเรียนรวมถึงข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

5.การบริการหลังการขาย

บริษัทมีช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าเพื่อรับข้อร้องเรียน ข้อเสนอแนะ และคำติชมจากทางลูกค้า สำหรับนำมาปรับปรุง แก้ไข พัฒนาในด้านผลิตภัณฑ์ และบริการ รวมถึงการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าเป็นประจำทุกปี พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางการบริหารจัดการประเด็นที่ลูกค้าให้ความสำคัญ ตลอดจนให้ความรู้ คำปรึกษากับลูกค้าในด้านต่างๆ 

การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ โดยบริษัทได้แบ่งกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย
1) ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
2) ลูกค้า
3) คู่ค้า 
4) คู่แข่งทางการค้า
5) พนักงาน
6) องค์กรกำกับดูแล
 
7) สังคมและชุมชน
พร้อมกับบริหาร
จัดการผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบดำเนินการ

กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของ SSI

ตารางการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียบนห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ปี 2565

การประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน  

บริษัทประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน และจัดลำดับความสำคัญของประเด็นดังกล่าวซึ่งครอบคลุมถึงการทบทวนความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยพิจารณาจากความสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ระดับความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อสะท้อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแล และการบริหารจัดการห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนานวัตกรรม

นโยบายนวัตกรรม 

นวัตกรรม คือ กุญแจสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถแข่งขันในตลาดได้ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)  เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทั้งในด้านสินค้า บริการ และกระบวนการทำงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าการบริหารด้านนวัตกรรม มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียเกิดความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืน บริษัทจึงได้กำหนดนโยบาย ด้านนวัตกรรมให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์และพันธกิจไว้ ดังนี้

สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีคุณค่าเพิ่มพิเศษสำหรับลูกค้าและผู้บริโภค สร้างคุณค่าร่วมและความไว้วางใจอย่างยั่งยืนสำหรับผู้มีส่วนได้เสีย 

เพื่อให้บรรลุตามนโยบายนวัตกรรมดังกล่าวบริษัทมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
1.พัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การให้บริการ และกระบวนการที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร คู่ค้า และผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
2.พัฒนาคุณค่าร่วมและความเชื่อมั่นอย่างยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสีย
3.กระตุ้น ส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรมีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการและกระบวนการอย่างทั่วถึงทั้งองค์กร
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นสนับสนุนให้มีระบบจัดการบริหารงานด้านนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนโยบายนวัตกรรมนี้ จะถ่ายทอดถึงพนักงานทุกระดับ เพื่อให้เกิดความตระหนักและมุ่งมั่นในการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาระบบการจัดการนวัตกรรมและนวัตกรรมธุรกิจ

กระบวนการสร้างสรรค์ด้านนวัตกรรม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อเปิดโอกาสการแข่งขันในด้านธุรกิจ บริษัทได้นำระบบการจัดการนวัตกรรม ISO 56002 มาใช้ในองค์กรตั้งแต่ต้นปี 2565 และได้ขอรับการทวนสอบ (Verify) เพื่อแสดงความสอดคล้องของการนำมาตรฐานไปปฏิบัติ จากสถาบันรับรองชั้นนำ MASCI ทั้งนี้ บริษัทถือเป็นรายแรกของผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเหล็กม้วนในประเทศไทยที่ผ่านการทวนสอบและได้รับประกาศนียบัตรของระบบการจัดการนวัตกรรม ISO 56002 ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าสู่ลูกค้าและสังคม เพื่อรองรับการบริการและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและครบครัน บริษัทมีนวัตกรรม การให้บริการรูปแบบ One-Stop Service ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช โดยให้บริการครบวงจร ครอบคลุมข้อมูล ผลิตภัณฑ์เหล็กสำหรับการใช้งาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อเหล็กประเภทต่างๆ จากแหล่งผู้ผลิตหรือ ร้านค้ารายเดียว เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการเลือกซื้อ หรือจัดหาเหล็กจากผู้ขายหลายๆ ราย นอกจากนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์เหล็กแปรรูป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนหน่วยของผลิตภัณฑ์ (SKU) ของผลิตภัณฑ์เหล็กแปรรูป 104 SKU แบ่งเป็น
  • ผลิตภัณฑ์ท่อและตัวซี จำนวน 88 SKU
  • Derivative Product อื่นๆ จำนวน 16 SKU
ในอนาคตบริษัทวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกิจ เพื่อมุ่งไปสู่การบริการในรูปแบบ One-Stop Service อย่างเต็มรูปแบบ และตั้งเป้าหมายให้มีจำนวนหน่วยผลิตภัณฑ์ 200 SKU เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและครบครัน

นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็ก

เพื่อยกระดับคุณภาพของสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ในฐานะผู้นำตลาดเหล็ก แผ่นรีดร้อนคุณภาพสูง บริษัทเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และได้กำหนดนิยามผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้า ดังนี้
1. SSI Principal Products (SPP) คือ ผลิตภัณฑ์หลักของ SSI ที่มีการออกแบบสินค้า การผลิตและการควบคุมคุณภาพ

(1) เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรมทั่วไป หรือ
(2) เฉพาะเจาะจงสำหรับการใช้งานหรือกลุ่มตลาดอุตสาหกรรมนั้นๆ

2. Innovated Value Products (IVP) คือ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม SSI ที่มีการออกแบบและการควบคุมคุณภาพพิเศษแตกต่างจากผลิตภัณฑ์หลักของ SSI เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า ทั้งจากการเลือกคุณลักษณะเด่นพิเศษเพิ่มเติม (Premium Feature) หรือการปรับแต่งพิเศษตามความต้องการของลูกค้า (Customized Products)

ในปี 2565 บริษัทมีปริมาณการส่งมอบผลิตภัณฑ์เหล็กจำนวน 1.05 ล้านตัน ได้แก่ SSI Principal Products ร้อยละ 21.9 และ SSI Innovated Value Products ร้อยละ 78.1

นอกจากนี้ คณะทำงานพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมได้วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าและร่วมมือกับฝ่ายผลิตของบริษัท ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของลูกค้ารวม 14 รายการ อาทิ
1. ผลิตภัณฑ์ตะแกรงฉีก (Expanded steel)
2. ผลิตภัณฑ์ Base plate
3. เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเกรดพิเศษที่ต้านทานการกัดกร่อนได้ในบรรยากาศ เพื่อใช้สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง
(Weathering Steel)
4. เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน เกรด A414G และ A455 ที่ใช้สำหรับอุตสาหกกรรมถังแก๊ส
5. เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน เกรด SAE1049 ที่เหมาะสำหรับชุบแข็งและผลิตเฟืองโซ่ (Sprocket) ในอุตสาหกรรมยานยนต์
6. ผลิตภัณฑ์ HRC Trimmed Edge สำหรับลูกค้าที่ใช้เหล็กแผ่นที่ต้องการหน้ากว้างที่แม่นยำ
7. เหล็กแผ่นรีดร้อนที่เสริมคุณลักษณะพิเศษในการควบคุมค่าเบี่ยงเบนความหนาของแผ่นเหล็ก (TOL40) เพื่อลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตของลูกค้า เป็นต้น

การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทยังมุ่งสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า xEV (ไฮบริดจ์, ปลั๊ก-อินไฮบริดจ์, อีวี, ฟิวเซลล์) บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองกับความต้องการด้วยเทคโนโลยี วัสดุน้ำหนักเบา (Lightweight Materials) เพื่อให้รถยนต์มีน้ำหนักเบาลง (Lighter Body) โดยผลิตเหล็ก High Tensile(Tensile 650 MPa) ให้กับกลุ่มลูกค้ายานยนต์ รวมถึงได้ศึกษาทดลองและพัฒนาเหล็กที่มีความแข็งแรงมากขึ้นไปที่ Tensile 780 MPa  รวมถึงสนับสนุนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อน เศรษฐกิจในภาครวมให้เติบโต และสร้างความต้องการการบริโภคเหล็กให้เติบโตมากยิ่งขึ้น